เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ พ.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นวัฒนธรรม ถ้าใครเคยอยู่วัฒนธรรมไหน เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านดุพระ “ขนาดต่อหน้าเป็นอย่างนี้ ลับหลังจะเป็นอย่างใด” นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นอย่างนี้มาจากไหน เป็นอย่างไร.. มันมีที่มา มันมีที่มาที่ไป

แต่ถ้าเราอยู่กันโดยวัดป่า เราฝึกฝนแล้วนี่ ไปที่ไหนเราจะรู้จักว่าที่ไหนควรและไม่ควร ถ้าที่ไหนควรและไม่ควรนี่เราจะเห็น เราจะรู้ แต่ถ้าเราไม่รู้แล้วมันเคย นี่ข้อวัตรปฏิบัติ ! ถ้าวัตรมันเคยแล้วนี่อาจริยวัตร อาคันตุกวัตร สิ่งที่เขารู้แล้วนี่โดยหลัก แล้วสิทธิเรามีแค่ไหน

นี่พูดถึงความจริง.. ถ้าความจริงเหมือนกัน ดูสิครูบาอาจารย์เราก็เป็นความจริงอันหนึ่ง เราต้องพูดความจริงนะ ความจริงหมายถึงว่า มันเป็นอย่างนี้ ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างนี้จริงๆ มันเป็นระดับของมัน เวลาอะไรมันเสื่อมสภาพมันเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้ปั๊บ... นี่มันจะอยู่ได้

สมัยหมออวย หมออวยอุปัฏฐากหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นนอนอยู่นี่ หมออวยบอกเลย บอกว่าให้หลวงปู่ฝั้นกำหนดลม กำหนดจิตมาอยู่ที่ท้อง กำหนดตรงนี้เพราะลมมันแน่น พอหลวงปู่ฝั้นกำหนด.. กำหนดมาแล้ว แบบว่าผายลมเลยล่ะ พั่บ ! พั่บ ! ออกเลย เห็นไหม หมออวยเป็นคนอุปัฏฐากหลวงปู่ฝั้นอยู่ หลวงปู่ฝั้นนอนป่วยอยู่

นี้ทางการแพทย์ เห็นไหม มันรู้อยู่ว่าตรงนี้เสื่อมสภาพอย่างไร แต่ทางการแพทย์มันสุดวิสัย บอกให้หลวงปู่ฝั้นกำหนดจิต หมอเป็นคนแนะนำ แล้วหลวงปู่ฝั้นเป็นคนทำ ทำกับตัวท่านเอง หมออวยเป็นคนแนะนำนะว่าให้กำหนดจิตมาอยู่ที่กระบังลม นี่ตรงนี้ กำหนดจิตมาที่ตรงนี้เลย กำหนดจิตมาที่ตรงนี้เลย แล้วหลวงปู่ฝั้นก็ทำตาม.. ทำตาม พอทำตามแล้วท่านก็ผายลม พั่บ ! พั่บ !

นี่ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่าน แต่ ! แต่สิ่งใดก็แล้วแต่ ความจริงคือความจริง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน

“อานนท์.. เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา”

ความจริงคือเป็นอย่างนี้ นี่ผลของสัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ นี่คือธรรมะแสดงตัว.. เวลาธรรมมันแสดงตัวนี่ความจริงมันแสดง มันเป็นความจริงที่แสดงออก ความจริงแสดงออกอย่างนี้ เวลาความจริงมันแสดงออกอย่างนี้ แต่ ! แต่เพราะบุญกุศลไง ทำคุณงามความดีไง ท่านทำของท่าน จิตใจท่านผ่องแผ้ว จิตใจท่านผ่องใส ไม่ตื่นเต้น ไม่มีอะไร

ถ้าอย่างเป็นคนอื่น ท่านบอกว่าเวลาคนอื่นคิดถึงความตายนี่มันจะเศร้าหมอง มันจะหดหู่ แต่นี่เรามันไม่มี แต่นี้พอเวลาสภาพร่างกายมันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม ธรรมโอสถ คือสิ่งที่เป็นธรรมะมันจะแก้ไข ธรรมะ.. ธรรมคือปาฏิหาริย์ !

นี่จิตถ้ามันฟอก จิตถ้ามันเป็นไป จิตถ้ามันกลับมา เห็นไหม สิ่งนี้มันจะฟื้นได้ มันฟื้นได้เพราะว่าจิตของท่านจะฟอกตัวของท่าน จิตของครูบาอาจารย์ นี่สิ่งนี้ถ้าทำ อันนี้มันแบบว่าทางโลกไม่มี แล้วนี่เราคุยกันเรื่องทางโลก คุยเรื่องความจริง

ความจริงต้องเป็นอย่างนี้ อาการต้องเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้ สืบเนื่องไปเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาให้ยาไปแล้ว ยานี้ให้ผลหรือไม่ให้ผล มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น นี่ทางวิทยาศาสตร์ไง แต่ถ้าเป็นเรื่องบุญกุศล เป็นเรื่องความจริง เป็นเรื่องหัวใจที่มันสะอาดบริสุทธิ์ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ

นี่ผู้ที่อยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ ๑๒๐ ปีก็อยู่ได้ ถ้าอยู่ได้ นี้บอกอยู่ได้ๆ ท่านก็บอกว่าจะสูดลมหายใจๆ อยู่ได้.. แต่ร่างกายมันอยู่ได้หรือเปล่าล่ะ แล้วถ้าร่างกายมันเสื่อมสภาพ เห็นไหม ถ้าอยู่ได้นี่ จะอยู่ได้อีกหนึ่งกัปก็อยู่ได้ อยู่ได้มันก็ต้องมารักษาตรงนี้ให้อยู่ได้ เพราะอย่างที่ว่า ถ้ารักษาตรงนี้ให้อยู่ได้ มันก็เป็นเพื่อประโยชน์กับสังคม เป็นเพื่อประโยชน์โลกนะ อยู่เพื่อโลก ไม่ได้อยู่ที่หัวใจดวงนั้น เพราะหัวใจดวงนั้นไม่มีสิ่งใดไปกดถ่วง ไม่มีสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

นี่พูดถึงสัจจะความจริง.. นี่ธรรมแสดงตัว มองนะ.. มองเรื่องต่างๆ แล้วย้อนกลับมาดูเรา.. ดูเรา ดูหัวใจของเรา ดูความกระเพื่อมของใจของเรา แล้วเป็นอย่างใด เราเป็นอย่างใด นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรามีหลักในหัวใจ เราจะเข้าใจสภาวะสิ่งนี้

นี่ความจริงมันเป็นอย่างนี้.. ความจริงคือความจริง แต่ความจริงอย่างนี้มันเป็นความจริงแบบโลก ความจริงแบบอนิจจัง อนิจจังเห็นไหม ดูสิกรรมเก่า-กรรมใหม่ กรรมมันแปรสภาพได้ ดูกรรม วิบากกรรม.. วิบากกรรมนี่ ที่แก้กรรมๆ แก้ให้มันต่อเนื่องกันไป แก้ให้มันทำของมันไป แล้วใครจะแก้ล่ะ ใครจะแก้ เห็นไหม เราแก้ไม่ได้ เราแก้ไม่ทัน เราแก้ไม่ไหว เพราะเราไม่รู้ว่ากรรมมันมาจากไหน มันเป็นอย่างใด

ฉะนั้นสิ่งที่เป็นหัวใจใช่ไหม หัวใจนี่มันเป็นที่ลับ หัวใจที่ว่านี้เป็นรากฐาน รากฐานมันที่นั่น แก้ไขต้องแก้ไขที่จุดนั้น ถ้าแก้ไขที่จุดนั้นที่จุดรากฐาน “ภวาสวะ.. ภพ” ชีวิตของใครก็แล้วแต่ นี่เราห่วงหาอาทรต่อกัน เราปรารถนาดีต่อกัน เห็นไหม เราปรารถนาดีต่อกัน

แต่ว่าชีวิตนั้น ภพนั้น หัวใจนั้น การแก้ไขนั้น.. ทุกข์ก็หัวใจนั้นคิดให้มันทุกข์ขึ้นมา ถ้าหัวใจนั้นแก้ไขหัวใจนั้นให้มันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา เห็นไหม มันแก้ไขที่ว่าผู้นั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ.. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน นี่สันทิฏฐิโก ใจดวงนั้นจะแก้ไขใจดวงนั้น.. ถ้าแก้ไขใจดวงนั้น “จากใจดวงหนึ่ง สู่ใจดวงหนึ่ง”

ครูบาอาจารย์ของเราเป็นใจดวงหนึ่ง ใจดวงหนึ่งเป็นคติ เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง อยู่เป็นชีวิตตัวอย่าง ถ้าชีวิตตัวอย่างเห็นไหม ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา นี่นอนสีหไสยาสน์ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น.. ตั้งแต่สาวก สาวกะขึ้นมานี่ชำระกิเลสได้ แต่แก้นิสัยไม่ได้ นิสัยคือนิสัย นิสัยนี้แก้ไม่ได้ ทางโลกบอกสันดาน เห็นไหม สันดานขุดยากต่างๆ

สันดานส่วนสันดานนะ แต่ความคิดเป็นอีกอันหนึ่งนะ แต่สันดานเป็นอย่างนั้น นี่ดูสิไม้คด.. ไม้คด ! คนที่เขาเป็นศิลปะเขาใช้ประโยชน์ ไม้คดนั้นเขาเอาไปทำเป็นศิลปะ โอ้โฮ.. ขายได้ราคามากเลย เห็นไหม ไม้มันคดแต่คนใช้มันเป็น

นี่สันดาน ! สันดาน ความคิด กิริยาภายนอกนี้มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าหัวใจมันสะอาดบริสุทธิ์ล่ะ.. คนที่เป็นธรรมนี่ใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้นแหละ ! นี่ใช้ประโยชน์ได้ แต่สิ่งที่เราฝึกฝนกันอยู่นี้ มันฝึกฝน... นี่สันดานเป็นสันดาน แต่กิเลสเป็นกิเลส เห็นไหม การแสดงออกนั้น ถ้ามันแสดงออกโดยบริสุทธิ์ แต่มันเป็นเหมือนไม้คดมันก็คดอยู่อย่างนั้นล่ะ ไม้ตรงมันก็ตรงอยู่อย่างนั้นล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน สันดานคือสันดานอย่างนั้นล่ะ แต่ถ้ามันแก้กิเลสได้ นี่มันชำระกิเลสได้นะ มันเป็นกิริยาแสดงออกเฉยๆ แต่หัวใจมันคด ความคดในใจมันไม่มี.. ถ้าความคด เห็นไหม คดในข้องอในกระดูก หัวใจมันไม่คด นี่กิริยาแสดงออกอย่างนั้นแต่มันสะอาดบริสุทธิ์.. งงไหม?

นี่กิริยาแสดงออกอย่างนั้นแต่สะอาดบริสุทธิ์.. สะอาดบริสุทธิ์นี่เพราะอะไร สะอาดบริสุทธิ์เพราะใจมันสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่มันแสดงออก มันแสดงออกมานี่.. ไม้มันคดอย่างนั้น แต่มันแสดงออกมาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นประโยชน์.. ประโยชน์คือหัวใจที่สะอาด หัวใจที่มันผ่องแผ้ว

ถ้าหัวใจสะอาดผ่องแผ้ว.. นี่ที่เราฟังธรรมๆ กันอยู่ เพราะเราเตือนหัวใจเรานี่ไง เราทำหัวใจเราให้สะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้าสะอาดบริสุทธิ์ เห็นไหม นี่สิ่งนี้มันสำคัญที่สุด สำคัญที่สุดเพราะอะไร เพราะว่าถ้ามันไม่มีความเศร้าหมอง มันมีความผ่องใสต่างๆ มันก็เกิดเป็นพรหม

มีการเกิดอีกไง ! มันมีการเกิดนี่เป็นผลประโยชน์ของเราเอง ผลประโยชน์ของผู้นั้นเอง.. ถ้าผลประโยชน์ของผู้นั้นเอง แต่ผลประโยชน์ของผู้นั้นเองแล้วนี่อยู่เพื่อประโยชน์โลก เพื่อความอบอุ่น ถ้าเรามีพ่อแม่ มีครูบาอาจารย์ทุกคนก็อบอุ่น ความอบอุ่นใจของเรา เห็นไหม แต่ถ้าใจถึงเวลาแล้วล่ะ ถึงเวลาแล้วนี่เราก็ต้องยืนตัวเราได้

ถ้าเราทำความสงบของเราได้ แต่สิ่งนั้นทุกคนก็อยากให้มันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ทุกคนอยากให้อยู่กับเราทั้งนั้นแหละ นี่มันก็เป็นเรื่องสัจจะความจริงอันหนึ่ง นี่ปาฏิหาริย์จะมีเพราะคุณธรรมในใจของครูบาอาจารย์เรานั่นแหละ ท่านจะทำของท่านเพื่อประโยชน์กับเรา

ประโยชน์กับเรานะ เราวิตกวิจารกันไปเห็นไหม เราก็ต้องวิตกวิจารเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อความผูกพัน เราเคารพบูชา นี่เจดีย์ในหัวใจของเรามันสั่นไหว ความเคารพบูชาในใจของเรามันก็สั่นไหวเป็นธรรมดา ความสั่นไหวนี้เราก็รับรู้ได้ แต่เราก็ต้องมีสติ.. มีสติแล้วเรามองให้มันเป็นผลประโยชน์ เป็นคติธรรมไง ถ้าเป็นคติธรรมนี่มันเตือนเรา มันสอนเรา มันบอกเรา.. มันบอกเรา

จริงๆ เราก็คิด ต้องการให้มันเป็นอย่างที่เราปรารถนากันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าพอมันเป็นคติเป็นสิ่งที่บอกเรา เราก็เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม

มันเป็นประโยชน์ทั้งทางโลก.. ประโยชน์ทางโลกเพราะเราช่วยเหลือเจือจานกัน

ประโยชน์ทั้งทางธรรม.. ประโยชน์ทางธรรมเพราะมันสะเทือนหัวใจของเรา มันเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ถ้าประโยชน์กับเรานี่เราทำของเราได้

เราอยู่กับโลก.. อยู่กับโลกด้วยความสดชื่น อยู่กับโลกด้วยความแจ่มใส นี้เป็นสัจธรรมนะ ! นี่สัจธรรม.. สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้เป็นเพราะเหตุใด เป็นเพราะการกระทำมา ใครทำสิ่งใดมา ใครสร้างบุญกุศลมา ใครทำคุณงามความดีมา สิ่งนั้นมันให้ผล.. ให้ผลนี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งนั้นแหละ ! สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ต้องเป็นประโยชน์กับเรา เราต้องสร้างคุณงามความดีของเรา แต่ความดีโดยอนิจจัง ความดีโดยกุปปธรรม

กุปปธรรม... “สัพเพ ธัมมา อนัตตา.. สภาวธรรมเป็นอนัตตาทั้งหมด !”

สภาวธรรม เห็นไหม แม้แต่ปัญญา แม้แต่สมาธิ แม้แต่ต่างๆ มันใช้ประโยชน์ขึ้นมาแล้ว มันทำลายกิเลสแล้วมันก็หมดไป แต่ถ้าสมาธิมันชำระกิเลส มันเป็นสมาธิมีปัญญาตลอดไป แล้วเราจะจบสิ้นขบวนการขนาดไหนล่ะ

เวลาสมุจเฉทปหานเป็นโสดาบัน เห็นไหม อกุปปธรรมในขบวนการของมัน สิ้นสุดขบวนการของมัน สิ้นสุดขบวนการของสกิทาคามี.. สิ้นสุดขบวนการของอนาคามี.. สิ้นสุดขบวนการของพระอรหันต์.. พอสิ้นสุดขบวนการของมันแล้ว นี่มันหมด

สิ่งต่างๆ มันเป็นเรื่องของโลก เห็นไหม เรื่องของโลกมันเป็นอกุปปธรรม.. กุปปธรรม สภาวะมันเปลี่ยนแปลงของมันไป แต่ผลล่ะ ! ผลที่เป็นอกุปปธรรม ผลที่เป็นธรรมแท้ๆ ผลที่เป็นสัจธรรม

ธรรมแท้ๆ สัจธรรมเป็นสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติหมด ทุกอย่างมันเป็นการกระทำหมด ทุกอย่างมันเป็นการที่มันวิวัฒนาการของมัน มันทำลายกัน เห็นไหม ทำลายในภวาสวะ ทำลายในภพ ทำลายจนมันสะอาด จนมันผ่องแผ้วขึ้นมา แล้วผลของมันเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมนี่เนื้อแท้ เนื้อของมัน.. เนื้อของมันเห็นไหม อยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่หัวใจของเรา เราพยายามเพื่อประโยชน์กับเรา

“ธรรมมันมีโลกียะ มีโลกุตตระ” สิ่งที่เป็นโลกุตตระ.. นี่เวลาครูบาอาจารย์เรา คนเราคิดกันว่า ถ้ามันวิมุตติสุขนี่มันสุขนัก สุขนักแล้วทำไมไม่รีบๆ ไป ไม่ฆ่าตัวตายไป ไม่สิ้นขบวนไป มันจบซะทีไง เพราะร่างกายนี้มันต้องแบกไว้ มันทุกข์มันยาก

มันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้าใจมันรู้แล้วอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ มันรู้ตัวของมันเอง.. รู้ตัวของมันเอง เห็นไหม แล้วสิ่งที่ว่านี่ ถ้ามีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับสังคม เพื่อประโยชน์ที่ดีกว่า ประโยชน์ที่มากกว่า ทุกคนก็อยากให้เป็นอย่างนั้นไป ถ้าเป็นอย่างนั้นมันเป็นได้มันก็ต้องเป็น

ถ้าเป็นได้ เห็นไหม แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของความจริงล่ะ.. นี่ความจริงมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ความจริงนี่ขบวนการมันจบสิ้นขบวนการของมัน มันก็เป็นความจริงอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็น.. นี่เรารอปาฏิหาริย์ เรารอความจริง เรารอสิ่งที่เป็นคุณธรรม สิ่งที่อยู่ในหัวใจนั้นทำเพื่อเป็นหลักชัยของเรา นี่หัวใจเราดูอย่างนั้น

“เธอจงมีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด” นี้คือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ! นี่เห็นไหมมันเป็นเรื่องจริง ความจริงเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่อยากให้มันเป็นหรอก ไม่อยากให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นความจริง แต่ความจริงเป็นแบบนี้ แต่เราอยู่คือสิ่งที่เหนือความจริง.. เหนือความจริงที่ให้เป็นความอบอุ่นกับเรา เป็นที่พึ่งกับเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ เอวัง